What's time?

2551/08/24

ในหลวงทรงเตือนบ้านเมืองใกล้ล่มจมเพราะใช้เงินไม่ระวัง





“ในหลวง” พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ผู้ว่าฯ ธปท.และคณะที่เข้าเฝ้าฯ ทรงขอให้บริหารเงินไม่ให้หมดประเทศ ทรงขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อย ไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจเพราะใช้เงินไม่ระวัง

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ผู้ว่าฯ ธปท.และคณะที่เข้าเฝ้าฯ

เมื่อเวลา 17.31 น.วันที่ 20 สิงหาคม 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารสมาคมธนาคารไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน ซึ่งเป็นรายได้ส่วนเกินจากการเปิดให้ประชาชนแลกซื้อธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ชนิดราคา 16 บาท ในราคาแลกซื้อ 100 บาท เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะที่เข้าเฝ้าฯ ความว่า “ขอขอบใจที่ท่านได้ทำงานอย่างเข้มแข็ง ได้ทำงานมากในงานของการธนาคาร ขอให้งานธนาคารที่ท่านทำเป็นผลดีสำเร็จ แต่ก่อนเงิน 10 บาท ก็รู้สึกว่าเป็นเงินมาก เดี๋ยวนี้ สิบบาทร้อยบาทพันบาท หรือหมื่นบาทก็ยังน้อย ทำไมมันน้อย แม้ล้านบาทก็ยังน้อย

เมื่อครั้งไปขอเงินสมเด็จพระพันวษา ขอเงิน 1 บาท ท่านให้ พอกำแหงหน่อยขอ 5 บาท ก็ยังให้ ต่อมาขอท่าน 10 บาท ก็ยังให้ แต่มาถึง 50 บาท ท่านบอกไม่มี ถามว่า งั้น 100 บาทมีไหม ท่านบอกว่า มี แต่ต้องตัดบัญชีที่มีอยู่ อยากใช้เท่าไรก็ได้

ท่านสอนว่าเราไม่ควรจะถลุงเงิน แม้ 100 บาท ท่านไม่ให้ แต่วันนี้เป็นพันบาทหมื่นบาทแสนบาทล้านบาทท่านก็ให้ ร้อยล้านท่านก็ให้ สมัยนี้เปลี่ยนไป แต่ก่อน 100 บาท ท่านไม่ให้ แต่สมัยนี้ ร้อยพันหมื่นแสนท่านก็เอามาให้ ต้องขอบใจท่านที่มีน้ำใจ เพราะว่าสมเด็จย่าท่านบอกว่า ถ้าให้ก็หมด หมดก็ไม่ให้แล้ว ตอนนี้ท่านให้มาเป็นจำนวนมาก หวังว่าท่านบริหารได้พันล้านหมื่นล้าน ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมด เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไป ให้มีใช้

ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง

ขอบใจที่ท่านระวังเรื่องการดำเนินด้านการเงิน ขอให้สำเร็จใจการบริหารการเงินของประเทศชาติ ขอบใจท่านที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อย ลำบากใจ นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดี ทำไม่ถูกต้อง ขอบใจทุกคนที่มาในวันนี้ และยังทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้บ้านเมืองมีเงินใช้ ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง

ขอบทุกท่านที่ปฏิบัติงานเพื่อความสำเร็จของชาติบ้านเมือง ขอให้มีความสุขในการงานขอให้สำเร็จ”

โดย ผู้จัดการออนไลน์

2551/08/21

เปลี่ยนสีเหรียญ 2 บาทใหม่ เป็น ' สีเหลือง ' ไม่ให้สับสน


เปลี่ยนสีเหรียญ 2 บาทใหม่ เป็น ' สีเหลือง ' ไม่ให้สับสน


ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ว่า เพื่อเป็นการแก้ไข ปัญหาเหรียญราคา 2 บาท ที่สังเกตได้ยากเวลาใช้ทอนเงินเนื่องจากมีลักษณะไม่แตกต่างไปจากเหรียญ 1 บาท ทำให้ประชาชนทั่วไปและพ่อค้าแม่ค้าเกิดความสับสนในการแยกแยะเหรียญ กรมธนารักษ์จึงเปลี่ยนสีของเหรียญ 2 บาท จากปัจจุบันสีเงินเป็นสีเหลือง โดยมีส่วนผสมโลหะผสมทองแดง นิกเกิล และอะลูมิเนียม ซึ่งทนทานกว่าและมีน้ำหนักเบากว่า คาดว่าเหรียญ 2 บาทรุ่นใหม่นี้จะนำออกมาใช้ได้ ในเดือน ก.ย.นี้


รมช.คลังกล่าวว่า ปัญหาหลักของการใช้เหรียญคือ ประชาชนเกิดความสับสน ทั้งที่ก่อนการผลิตเหรียญออกมาใช้นั้น ได้ผ่านการทดสอบแล้วว่ารูปร่างและหน้าตารวมทั้งขนาดมีความต่างกัน แต่เมื่อนำมาใช้จริง กลับมีปัญหาเรื่องความใกล้เคียงของเหรียญ จึงเปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็นสีเหลือง แต่เป็นขนาดเดียวกับเหรียญ 2 บาท รูปแบบเดิม และกรมธนารักษ์จะไม่มีการเรียกเก็บคืนเหรียญ 2 บาทรูปแบบเดิมที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดกลับ ประชาชนยังคงให้ใช้จับจ่ายได้ตามปกติ แต่จะไม่มีการผลิตเพิ่มแล้วเพื่อให้เหรียญดังกล่าวหายออกไปจากระบบเอง ทั้งนี้ การที่กรมผลิตเหรียญ 2 บาทออกมาใช้นั้นเพื่อต้องการที่จะลดต้นทุนการผลิตเหรียญ 1 บาทลงและเพิ่มปริมาณเหรียญ ในระบบให้มากขึ้น หลังจากที่มีปัญหาเหรียญขาดตลาดมาเป็นเวลานานแล้ว


สำหรับเรื่องของการรณรงค์ให้ประชาชนนำเงินเหรียญออกมาจับจ่ายใช้สอย ร.ต.หญิงระนองรักษ์กล่าวว่า ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เป็นผลจากการกระตุ้นและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ยอดจ่ายแลกเหรียญในเดือน มี.ค. 51 เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.ประมาณ 7.5 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 6% เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้เหรียญ และยังสามารถรับคืนเหรียญที่ลูกค้าเก็บไว้ เพื่อนำกลับมาจ่ายแลกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอีก นับได้ว่าโครงการนี้ค่อนข้างประสบผลสำเร็จ


2551/08/09

ว่าด้วยเรื่องจีนๆๆ...


จีนโวยมะกันแทรกแซงเรื่องภายใน



ทางการจีนออกแถลงการณ์ประณาม 'บุช' พบนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพจีน เป็นเรื่อง 'เสียมารยาท' และถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐบาลปักกิ่ง




กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นายหลิว เจี้ยนเฉา โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงว่า การกระทำของสหรัฐเป็นเรื่องเสียมารยาท และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างร้ายแรง รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณผิดๆ ไปยังกลุ่มต่อต้านจีน หลังจากประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้พบปะกับนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพชาวจีน 5 คนที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคาร (29 ก.ค.) ซึ่งนักเคลื่อนไหวบางรายเคยถูกรัฐบาลจีนจำคุกและบังคับให้ลี้ภัย

---------------------------------------------

แดนมังกรทลายแผนก่อการร้ายสนามกีฬา


:เซี่ยงไฮ้ - ตำรวจจีนทลายแผนของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติที่เตรียมวางแผนโจมตีสนามกีฬาโอลิมปิคในนครเซียงไฮ้





กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : เวบไซต์ของหนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้ เดลี่ รายงานอ้างหัวหน้าสำนักงานความมั่นคงเซี่ยงไฮ้ นาย เฉิง จิ่วหลง ระบุว่า ตำรวจได้เข้ากวาดล้างและจับกุมผู้ก่อการร้ายที่วางแผนโจมตีสนามเซี่ยงไฮ้ สเตเดียม ที่ใช้เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิก หลังทราบเบาะแสว่ามีกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติจะเข้ามาก่อเหตุโจมตีสนามกีฬาแห่งนี้ในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในเดือนหน้า แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าการจับกุมมีขึ้นตั้งแต่เมื่อใด รวมถึงไม่ได้ระบุสัญชาติและจำนวนของผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้



นายเฉิงรับประกันความปลอดภัยของสนามเซี่ยงไฮ้ สเตเดียมที่คาดว่าจะมีผู้เข้าชมราว 52,000 คนในการแข่งขันแต่ละแมทช์ และที่พักนักกีฬา รวมทั้งเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสนามฟุตบอล แต่ก็บอกว่าภัยคุกคามจากการก่อการร้ายยังคงมีอยู่ เพราะกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติบางกลุ่มขู่จะลงมือโจมตีเป้าหมายในนครเซี่ยงไฮ้ และเพื่อป้องกันเหตุร้าย



ตำรวจเซี่ยงไฮ้จึงเพิ่มการรักษาความปลอดภัย ตรวจสอบอย่างละเอียด และได้ปิดสนามเซี่ยงไฮ้สเตเดี่ยม เพื่อตรวจสอบการรักษาความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม โดยมีตำรวจพร้อมอาวุธครบมือลาดตระเวณตลอด 24 ชั่วโมง และมีการใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อป้องกันการเบียดเสียดยัดเยียดบริเวณทางเข้าด้วย นอกจากนี้ยังมีการตรวจเข้มในสถานที่สำคัญอื่น ๆ เช่นศูนย์การค้า และสถานีรถไฟต่างๆ


2551/07/22

6 วิธีขับขี่อย่างประหยัด ลดค่าใช้จ่ายยุคน้ำมันแพง

6 วิธีขับขี่อย่างประหยัด ลดค่าใช้จ่ายยุคน้ำมันแพง


แนะอย่าแข่งกับไฟเขียว สนใจไฟแดง หาความเร็วที่เหมาะสม



free unlimited image hosting service


รถยนต์ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีอยู่บนล้ออย่างไรก็ตาม แต่การจะให้ได้ ประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด ท้ายสุดก็อยู่ที่ตัวผู้ขับขี่ ซึ่งรวมถึงเรื่องราวของความประหยัดอีกด้วย


เทคออนวีล วันนี้ อาจจะไม่ได้มุ่งไปที่เทคโนโลยีมากนัก แต่ก็ยังคงเกี่ยวข้องในแง่ของการใช้เทคโนโลยีให้คุ้มค่า และน่าจะเป็นประโยชน์ในยุคที่เศรษฐีน้ำมันไม่สนใจคนไทย นอกจากจะขายของให้แพง ยังถูกคนบางจำพวกยุแยงให้มาปลูกข้าวแข่งกับชาวนาตาดำๆ อีกต่างหาก


วันนี้เราจะไปดูแนวความคิดของฝรั่งที่เขาแลกเปลี่ยนกันว่าจะทำอย่างไรให้ประหยัดน้ำมันอย่างได้ผล ซึ่งคิดรวบยอดออกมาได้ 6 แนวทางหลักๆ เพราะฝรั่งเขาก็เข้าใจเหมือนคนไทยนี่แหละ ว่าการจะให้หยุดใช้รถนั้นเป็นไปไม่ได้


1. อย่าแข่งกับไฟเขียว เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว อย่าออกตัวอย่างรวดเร็ว เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เครื่องยนต์กินน้ำมันมาก ถ้ายิ่งเหยียบคันเร่งหนักเท่าไร เงินก็ออกจากกระเป๋ามากขึ้น


2. สนใจไฟแดง เมื่อเห็นไฟแดง หรือไฟเหลือง หรือว่าตัวเลขไฟเขียวเหลือน้อยแต่ไกล รีบยกคันเร่งทันที ไม่มีประโยชน์ที่อะไรที่จะใช้มันต่อไป แล้วไปเบรกหนักๆ ตอนใกล้ถึงท้ายรถคันหน้าที่จอดอยู่ วิธีนี้นอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานผ้าเบรกได้อีกด้วย

ซึ่ง วิธีนี้ทางเว็ปไซต์ เอ็ดมุนด์ส บอกว่ามีการทดสอบแล้วพบว่าช่วยให้ประหยัดได้ 35% เลยทีเดียว


3. หาความเร็วที่เหมาะสม ข้อนี้ว่ากันถึงเรื่องของแรงลม โดยเขาบอกว่าถ้ารถมีความเร็วมาก ก็ช่วยดันลมออกห่างจากตัวรถได้มาก คล้ายๆ กับเราฟาดมือลงไปในน้ำด้วยความเร็วที่ต่างกัน แล้วลองดูผลของมัน

ทั้งนี้ผู้ใช้รถที่เมืองนอกบางคนรายงานผลเข้ามาว่า การขับด้วยความเร็ว 120 กม./ชม.จะเพิ่มระยะการใช้งานรถได้ 1-1.7 กม./ลิตร แล้วแต่ความแตกต่างของรถแต่ละคัน

ข้อนี้อาจจะสร้างความสับสน และขัดแย้งกันทางทฤษฎีได้ ก็ลองไปหาความเร็วที่เหมาะสมของรถแต่ละคัน และพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ และก็ต้องไม่ลืมว่าลักษณะลมของแต่ละประเทศ ให้ผลที่ไม่เหมือนกัน



4. ห่างคันหน้า การขับจี้ติดท้ายรถคันหน้ามีอันตรายมากมาย อย่างแรก คือความเสี่ยงต่อการชน ลดโอกาสในการสำรวจพื้นที่ด้านหน้า


และการขับอย่างนี้จะสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่า เพราะถ้าคันหน้าเบรก เราจะเบรกแรงกว่าเขาเพราะเริ่มเบรกช้ากว่า และเมื่อคันหน้าเร่งเครื่อง เราก็จะต้องเร่งมากกว่า หากรต้องการรักษาระยะเท่าเดิม

ทางที่ดีรักษาระยะห่างเอาไว้ดีกว่า ประมาณ 2 วินาที



5. จอดต้องดับ หลายคนอาจเคยได้ยินว่า การสตาร์ทเครื่องใหม่สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปล่อยเครื่องยนต์ทำงานโดยไม่ต้องดับ เรื่องนี้อาจจะเป็นจริง แต่ไม่ใช่ทุกกรณี เพราะว่าเครื่องยนต์ยุคใหม่ๆ นั้น มีการพัฒนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะหัวฉีดจากอดีตไปมาก มันจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อสตาร์ทเครื่อง

การปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานเฉยๆ นั้นๆ ทุกๆ นาทีมันเผาผลาญน้ำมันพอๆ กับการขับรถไป 800 เมตร

รายงานนี้มีกระแนะกระแหนเล็กน้อยว่า ไม่ควรขับรถเข้าไปซื้อฟาสต์ฟู้ดที่เป็นแบบไดร์ฟ-ทรู เพราะค่าน้ำมันที่เสียไปมันพอกับค่าไก่นักเก็ตส์ เลยทีเดียว

อีกอย่างเมื่อติดเครื่องแล้ว ไม่ต้องจอดอุ่นเครื่องให้เปลืองน้ำมัน ขับออกไปเลย แต่อย่าใช้ความเร็วและรอบเครื่องสูงในช่วงแรก เท่านั้น

6. เลี่ยงทางสั้นๆ โดยหาทางออกกำลังกายไปเอง กรมพลังงานของสหรัฐอเมริกา รายงานว่าการใช้งานรถในระยะสั้นๆ แบบที่เครื่องยนต์ยังไม่ทันร้อน เมื่อสตาร์ทใหม่ จะกินน้ำมันมากกว่าการใช้รถยาวๆ แล้วสตาร์ทใหม่ 2 เท่าตัว


free unlimited image hosting service

ข้อแนะนำนี้น่าสนใจ เพราะบอกว่าถ้ามีธุระหลายๆ ที่ ให้เลือกไปที่ไกลที่สุดก่อน จากนั้นขากลับค่อยแวะตามจุดต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้เยอะทีเดียว




ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

2551/07/14

เขตปลอดรถ Car-Free


เขตปลอดรถ Car-Free



เว็บไซต์นี้ www.carfree.com มีข้อมูลเมืองและสถานที่ (เช่น ถนน เกาะ) ต่างๆ ที่ห้ามรถวิ่ง

และนี่คือ
รายชื่อสถานที่ปลอดรถทั่วโลก

เป็นความคิดที่ดีเยี่ยมใช่ไหมคะ เพราะถ้าปราศจากรถ ก็ปราศจากมลพิษและการผลาญทรัพยากร

ก๊าซคาร์บอนเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีอยู่ในบรรยากาศ แต่รถปล่อยคาร์บอนออกสู่บรรยากาศและทำให้ปริมาณคาร์บอนเสียสมดุล

เราอาศัยอยู่ในวงจรปิด ซึ่งหมายความว่าไม่มีอะไรสามารถเพิ่มเข้ามาหรือออกไป และไม่มีสิ่งใหม่สามารถถูกสร้างขึ้นได้ เรามีได้เท่าที่มีอยู่ หากต้องการรู้ว่าคาร์บอนทำร้ายสิ่งแวดล้อมอย่างไร ก็ให้ลองคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากคุณอยู่ในโรงรถที่ถูกปิดและมีรถติดเครื่องอยู่สิคะ

ครัวเรือนที่มีรถเก๋งขนาดกลาง 2 คัน ปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ 9,000 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งเท่ากับมลพิษ 9 ตันซึ่งมีผลต่อปรากฏการณ์เรือนกระจก รถ SUV ปล่อยมลพิษที่เป็นสาเหตุของโลกร้อนมากกว่ารถขนาดเล็ก 40%

มลพิษที่เป็นตัวกักเก็บความร้อน เช่น มลพิษจากรถยนต์และรถบรรทุก สามารถคงอยู่ในบรรยากาศหลายทศวรรษจนถึงประมาณ 1 ศตวรรษ

ถ้ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อจักรยานแบบกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ก็ดีสิคะ มีที่จอดจักรยานที่สถานีรถไฟตั้ง 2 ชั้นแหนะ แบบนี้ไง:



แต่ถึงสภาพกรุงเทพฯ ในปัจจุบันไม่เอื้อให้ขี่จักรยาน แต่สิ่งที่เราทำให้ คือ หันมาใช้รถสาธารณะกันเยอะๆ และใช้รถเท่าที่จำเป็น นอกจากจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซต์แล้ว ยังทำให้รถติดน้อยลงด้วยนะคะ

ถ้าอยากรู้ว่าปีหนึ่งๆ คุณปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์เท่าไหร่ สามารถคำนวณได้ที่
คลินิกโลกร้อน ของกรีนพีซ

CREDIT TO greenpeacethailand